9 กุมภาพันธ์ 2566

เพราะทุกนาทีคือชีวิตของผู้ป่วย เราจึงมุ่งมั่นพร้อมรับมือในทุกสถานการณ์ฉุกเฉิน

ข้อมูลโดย : พว.เฉลาศรี เสงี่ยม หัวหน้าพยาบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

เมื่อเกิดสถานการณ์ภัยจากโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งถือเป็นภัยจากโรคอุบัติใหม่ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์และเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินระดับประเทศที่ทำให้มีผู้ป่วยจำนวนมากในคราวเดียวกัน ถือเป็นสถานการณ์เร่งด่วนที่เป็นนาทีชีวิตของผู้ป่วย โรงพยาบาลจุฬาฯ ได้ออกแบบ “แผนรับมือภัยโรคระบาด” และจัดตั้ง “ศูนย์โรคติดต่ออุบัติใหม่” บริหารจัดการทั้งกระบวนการ  ทรัพยากร และกำลังคนเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ป่วยได้ทันท่วงที และเตรียมการรองรับผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด แม้การระบาดของโควิด-19ได้บรรเทาลงบ้างแล้ว แต่จำนวนผู้ป่วยยังมีเพิ่มขึ้นในบางช่วง จึงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์การระบาดต่อไป และหากพบว่ามีการกลับมาระบาดหนักอีกครั้ง ทุกฝ่ายจะสามารถระดมทรัพยากรมาดูแลผู้ป่วยตามแผนที่วางไว้เพื่อรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

1. ด่านหน้า ER นาทีชีวิตที่ต้องปลอดภัย

ด้วยความที่ห้องฉุกเฉิน (ER) เป็นบริการด่านหน้าที่ต้องรับผู้ป่วยทุกคนที่เกิดเหตุฉุกเฉินเข้ามา รวมถึงเป็นจุดแรกที่ต้องรับผู้ป่วยโควิดที่มีอาการหนักด้วยเช่นกัน ห้องฉุกเฉินจึงมีการจัดการสถานที่ใหม่และมีขั้นตอนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสูบุคลากรและผู้ปวยอื่น รวมถึงต้องช่วยชีวิตผู้ป่วยทุกคนให้ได้ทันสถานการณ์มากที่สุด

  • จุดคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ
    ด้วยการคัดกรองที่ครบถ้วนเป็นไปตามมาตรฐานมีการซักประวัติโดยบุคลากรที่มีความรู้หากผู้บาดเจ็บไม่สามารถให้ข้อมูลได้ก็ต้องสังเกตอาการจนทราบผล
  • เปิดหน่วยบริการใหม่เฉพาะผู้ป่วยโควิด
    หากพบว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง หรือมีอาการสงสัยว่าติดเชื้อต้องจัดแยกผู้ป่วยไปที่หน่วยบริการผู้ป่วยโควิดซึ่งเปิดขึ้นใหม่โดยเฉพาะ เพื่อไม่ให้มีผู้ป่วยโควิดหลุดเข้าไปปะปนในหอผู้ป่วยในได้
  • สร้างห้องแรงดันลบเพิ่ม
    โดยมาตรฐานแล้วห้องฉุกเฉินควรมีห้องแรงดันลบ (Negative Pressure Rooms) อย่างน้อย 1 ห้อง เพื่อรองรับผู้ป่วยโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจให้เข้าไปอยู่ในห้องนั้นเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ เดิมห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลจุฬาฯ มีห้องแรงดันลบอยู่ 3 ห้อง แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ห้องฉุกเฉินได้สร้างห้องแรงดันลบเพิ่มอย่างเร่งด่วนเป็น 8 ห้อง โดย 7 ห้องเป็นห้องเดี่ยว ห้องที่ 8 เป็นห้องรวมที่รองรับผู้ป่วยได้ 6 คน

2. แผนกผู้ป่วยนอก (OPD) ปราการด่านสำคัญ

แผนกผู้ป่วยนอกเป็นอีกหนึ่งด่านหน้าสำคัญที่ต้องรับผู้ป่วยที่เข้ามาใช้บริการ เป็นปราการสำคัญด่านแรกที่จะป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ระบาด มีการบริหารจัดการคล้ายห้องฉุกเฉินโดยต้องป้องกันไม่ให้ติดเชื้อแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น ต้องมีจุดคัดกรองที่เคร่งครัดและแม่นยำ มีการซักประวัติ คัดกรองอาการ และสังเกตอาการบ่งชี้ของผู้ป่วย หากพยาบาลผู้ทำหน้าที่คัดกรองสงสัยว่าผู้ป่วยติดเชื้อโควิดก็จะจัดการแยกผู้ป่วยไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัยของบุคลากรและผู้ป่วยรายอื่น โดยนำผู้ป่วยเข้าห้องตรวจประเมิน และส่งตรวจหาเชื้อซึ่งต้องใช้เวลา 24 ชั่วโมง หากพบว่าปลอดเชื้อแล้วจึงจะเข้ารับบริการตามขั้นตอนของแผนกผู้ป่วยนอกได้ต่อไป

3. จัดทำหอผู้ป่วยใหม่เร่งด่วน

ในช่วงที่มีการระบาดรุนแรงที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก จนแม้แต่อาคารที่เตรียมไว้รองรับโรคอุบัติใหม่ก็ไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องจัดทำหอผู้ป่วยโควิดโดยเฉพาะเพิ่มขึ้นใหม่ โดยเร่งดำเนินการเปิดหอผู้ป่วยใหม่ดังนี้

  • ปรับเปลี่ยนตึกนวมินทราชินีและตึกคัคณางค์ที่กำลังอยู่ระหว่างปรับปรุงให้มาเป็นหอผู้ป่วยโควิด
  • ปรับเปลี่ยนหอพักพยาบาลที่ตึก 14 ชั้นมาเป็นหอผู้ป่วยโควิด
  • เปิดห้องไอซียูในหอผู้ป่วยเพิ่มอย่างเร่งด่วน เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิดที่อาการหนัก
  • จัดทำห้องผ่าตัดแรงดันลบใหม่เพิ่ม เพราะการผ่าตัดผู้ป่วยโควิดไม่สามารถทำในห้องผ่าตัดปกติทั่วไปได้ จำเป็นต้องปรับห้องผ่าตัดให้เป็นห้องแรงดันลบที่ปลอดภัยสำหรับบุคลากร
  • จัดสร้างหอผู้ป่วยกึ่งวิกฤตรับผู้ป่วยจากห้องฉุกเฉิน เนื่องจากห้องฉุกเฉินผู้ป่วยล้นจึงต้องรีบระบายผู้ป่วยโควิดจากห้องฉุกเฉินมาเข้าหอผู้ป่วย แต่หอผู้ป่วยทุกแห่งเต็มหมดแล้ว จึงต้องเปิดหอผู้ป่วยใหม่ที่ลานจอดรถอาคารแพทยพัฒน์ เพื่อรีบระบายผู้ป่วยโควิดจากห้องฉุกเฉินซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ใด้โดยสร้างหอผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมา4 หลัง ทั้งนี้ไม่ใด้ใช้คำว่าโรงพยาบาลสนามเนื่องจากใช้รองรับผู้ป่วยที่อาการหนัก จึงใช้คำว่า “หอผู้ป่วยกึ่งวิกฤต” ประกอบด้วย หอผู้ป่วยกึ่งวิกฤต 3 หลังและมีห้อง เCU อีก 1 หลังสามารถรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิดที่อาการหนักจากห้องฉุกเฉินได้ประมาณ 60 ราย

สถานการณ์ฉุกเฉิน

ภาวะภัยพิบัติหรือสาธารณภัยเกิดได้จากการกระทำของมนุษย์และจากธรรมชาติ เช่น โรคระบาด ภัยธรรมชาติ การก่อการร้าย หรืออุบัติเหตุต่าง ๆ ซึ่งทำให้มีผู้ประสบภัยจำนวนมากที่เกิดอาการเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ ตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

4. การบริหารจัดการกำลังคน

จัดการบริหารบุคลากรเพื่อไปช่วยผู้ป่วยโควิดที่มีจำนวนมากให้ได้ทันสถานการณ์

 

  • ตัดสินใจปิดบริการแผนกผู้ป่วยนอก (OPD) และหอผู้ป่วยในบางส่วน โดยพิจารณาว่าแผนกใดที่สามารถปิดได้โดยส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยน้อยที่สุด แล้วส่งพยาบาลจากแผนกนั้นไปดูแลผู้ป่วยโควิด
  • เตรียมความพร้อมและความรู้ให้บุคลากร มีการฝึกอบรมให้พยาบาลทั่วไปที่ต้องสับเปลี่ยนไปดูแลหอผู้ป่วยโควิดที่เปิดขึ้นมาใหม่ โดยให้พยาบาลด้านผู้ป่วยโรคติดเชื้อและการควบคุมการติดเชื้อมาเป็นทีมฝึกอบรมให้พยาบาลทั่วไป เพื่อให้พยาบาลทุกคนสามารถทำงานกับผู้ติดเชื้อได้อย่างปลอดภัยที่สุด
  • ปรับตัวตามแผนและนโยบาย ช่วงระบาดหนักโรงพยาบาลมีนโยบายให้แบ่งทีมบุคลากรในแต่ละแผนกเป็นหลายทีม เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการที่มีคนในแผนกติดเชื้อแล้วต้องกักตัวทั้งแผนก เช่น หากมีบุคลากร 50 คน จากเดิมที่ 50 คนนั้นหมุนเวียนเข้ามาทำงานอิสระตามเวร แต่ช่วงโควิดให้แบ่งเป็นทีมย่อยหลายทีมเพื่อจำกัดวงการสัมผัสเชื้อให้แคบลง แล้วแต่ละทีมผลัดเวรมาทำงานเป็นกลุ่มในทีมของตนเอง ดังนั้นหากทีมใดทีมหนึ่งต้องกักตัวก็ยังมีทีมย่อยที่เหลือมาทำงานแทนได้ เพื่อให้การบริการผู้ป่วยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
  • การสร้างขวัญกำลังใจของคนทำงานเป็นสิ่งสำคัญ บรรยากาศการทำงานในสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดเป็นไปด้วยความตึงเครียดบุคลากรต้องระวังตนเองและครอบครัว หลายคนไม่ได้กลับบ้านนานหลายเดือนเพราะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ไม่อยากเสี่ยงนำเชื้อไปสู่คนที่บ้าน โรงพยาบาลมีหน้าที่ให้ข้อมูลการป้องกันการติดเชื้ออย่างสม่ำเสมอ จัดเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ให้ใช้ตามมาตรฐานเต็มที่ ดูแลความเป็นอยู่ อาหารการกิน การพักระหว่างขึ้นเวร รวมถึงดูแลด้านจิตใจหากบุคลากรมีปัญหาในการทำงาน หรือปัญหาส่วนตัวเกี่ยวเนื่อง เช่น ครอบครัวติดเชื้อ สามารถปรึกษาหัวหน้าแผนกได้ตลอด 24 ชั่วโมง

5. พัฒนาระบบ Telemedicine ดูแลผู้ป่วยกลุ่มอื่น

ในช่วงวิกฤตที่ต้องทุ่มเททรัพยากรและบุคลากรเพื่อไปรับมือสถานการณ์โควิด โรงพยาบาลยังต้องให้บริการผู้ป่วยอื่น ๆ ด้วย จึงแก้ปัญหาด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย มีการพัฒนาระบบแพทย์ทางไกลหรือเทเลเมดิซีน (Telemedicine) การติดตามอาการผู้ป่วยผ่านออนไลน์ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลตามมาตรฐานมากที่สุด

ระบบเทเลเมดิซีนช่วยบริหารเวลาของบุคลากรทางการแพทย์ และใช้เพื่อลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโรคอื่น ๆ ที่ไม่อยากมาโรงพยาบาลในช่วงโรคระบาด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางเช่นผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยสามารถพูดคุยกับแพทย์ทางออนไลน์มีการสอบถามอาการ จ่ายยาโดยผู้ป่วยไม่ต้องมาโรงพยาบาล เมื่อสั่งยาแล้วก็ไปรับยาที่ร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านได้ แม้สถานการณ์โควิดผ่อนคลายแล้วโรงพยาบาลก็ยังพัฒนาระบบนี้ต่อไป เนื่องจากผู้ป่วยได้รับประโยชน์ในการติดตามอาการทางเทเลเมดิซีนที่มีความสะดวกและปลอดภัย ช่วยประหยัดเวลาและค่าเดินทางมาโรงพยาบาล และลดความความเสี่ยงต่าง ๆ ระหว่างการเดินทางได้

6. เตรียมสถานที่รับภัยโรคอุบัติใหม่ในอนาคต

จากประสบการณ์เปิดหอผู้ป่วยใหม่อย่างเร่งด่วนที่มีความยากลำบากมากในเรื่องการจัดการสถานที่และการบริหารจัดการทรัพยากร ดังนั้นเพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โรงพยาบาลได้วางแผนปรับปรุงตึกสิรินธรให้เป็นศูนย์รับโรคอุบัติใหม่ ออกแบบให้เป็นพื้นที่ที่สามารถใช้งานได้หลายประเภท เช่น โถงข้างล่างหากเกิดเหตุฉุกเฉินจนแผนกผู้ป่วยนอกต้องปิดลงบางจุด สามารถมาใช้โถงของอาคารเป็นแผนกผู้ป่วยนอกแทนได้ ภายในอาคารมีหอผู้ป่วย ห้องไอซียู และห้องผ่าตัด เมื่อเกิดโรคอุบัติใหม่ระบาดขึ้นอีกครั้งสามารถใช้ตึกนี้เปิดเป็นหอผู้ป่วยใหม่ได้เลยทันที แต่ในช่วงที่ไม่มีโรคระบาดก็ใช้เป็นห้องฝึกอบรม หรือเปิดบริการเฉพาะผู้ป่วยที่ไม่ต้องอยู่นาน เผื่อกรณีเกิดโรคอุบัติใหม่ขึ้นจะได้ย้ายผู้ป่วยออกไปโดยง่าย

ขอบคุณข้อมูลจาก วารสาร ฬ จุฬา