ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา ครูผู้เป็นต้นแบบของรองศาสตราจารย์ นายแพทย์กฤษณพันธ์ บุณยะรัตเวช
สำหรับชาวจุฬาฯ ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา อดีตอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เป็นทั้งนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทศัลยศาสตร์ นักวิจัยผู้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมาย และนักบริหารที่เปี่ยมด้วยความสามารถ ทั้งยังเป็นครูแพทย์ผู้ถ่ายทอดวิชาและส่งเสริมให้แพทย์รุ่นหลังก้าวหน้าในสายอาชีพ จึงไม่น่าแปลกใจที่ท่านจะเป็นต้นแบบของบุคคลมากมายในหลายแวดวง รวมถึงรองศาสตราจารย์ นายแพทย์กฤษณพันธ์ บุณยะรัตเวช ศิษย์ที่เคยได้เรียนรู้จากท่าน และยังคงยกเอาคำสอนตลอดจนวิธีการทำงานของท่านมาปรับใช้ในการทำหน้าที่แพทย์และครูแพทย์จนทุกวันนี้
ความภูมิใจของต้นเรื่อง
ปัจจุบันรองศาสตราจารย์ นายแพทย์กฤษณพันธ์ บุณยะรัตเวช เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทศัลยศาสตร์ ทั้งยังเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เหล่านิสิตแพทย์จำนวนไม่น้อยยกให้เป็นแบบอย่างในการทำงาน ทว่าหากย้อนหลังไปกว่า 20 ปีในวันที่ตัวท่านยังมีสถานะเป็นนิสิตแพทย์ นายแพทย์กฤษณพันธ์เล่าว่า บุคคลที่มีส่วนสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจให้ท่านเดินมาบนเส้นทางนี้ก็คือ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา อาจารย์แพทย์ผู้เก่งรอบด้าน และยังมีวิธีการทำงานรวมถึงวิธีการสอนที่ทำให้เขาประทับใจ จนตั้งใจจะเป็นแพทย์และครูแพทย์ที่ดีตามรอยบุคคลต้นแบบท่านนี้
แรงบันดาลใจจากคนต้นแบบ
“ผมไม่ได้สอนให้เขารู้ แต่สอนให้เขาเข้าใจไปในจิตใจของเขาเอง”
ศาสตราจารย์กิตติคุณนายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา

หลักการทำงานในหน้าที่แพทย์ของอาจารย์คืออะไร
“ในการรักษาคนไข้จะต้องเอาใจใส่เต็มที่เพราะการดูแลคนไข้ที่ต้องผ่าตัดสมองไม่เหมือนการผ่าตัดอื่น ๆ คนไข้ก็ดี ญาติก็ดี จะรู้สึกกลัวว่าถ้าเข้าห้องผ่าตัดแล้วจะรอดไหม จะเสียชีวิตไหม และถ้ากลับออกมาแล้วจะพิการอะไรไหม นี่คือสิ่งที่เขากลัว ดังนั้นต้องอธิบายให้คนไข้เข้าใจ ตัวอย่างเช่น หากคนไข้ถามว่าอันตรายไหม เราจะไม่บอกว่าไม่อันตราย แต่จะบอกเขาว่าแม้แต่ฉีดยาก็อันตราย เพราะ
ฉะนั้นต้องระวังทุกฝีก้าวในการที่จะทำ ระหว่างการผ่าตัดบางทีใช้เวลา 7-8 ชั่วโมง เราไม่หยุดพักดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารเลย จะจดจ่ออยู่กับการผ่าตัดตลอด 7-8 ชั่วโมงเพราะรู้ว่าถ้าหยุดพักอาจทำให้คนไข้สูญเสียไปบางส่วนได้ เราจึงต้องทุ่มเทและอดทนอย่างมาก
“ผมสอนแพทย์ประจำบ้านเสมอว่า การเป็นแพทย์มีความหมายที่ลึกซึ้งอย่างการได้ช่วยชีวิตคนในกลางดึก เราเหนื่อย เราอดนอน แต่เช้ามาจะเห็นรอยยิ้มของทุกคน เป็นเครื่องแสดงว่าเขาเกิดปีติในใจ ซึ่งปีตินี้เป็นลักษณะพิเศษของแพทย์ที่รักษาคนไข้ หาในอาชีพอื่นได้ยาก ฉะนั้นเรื่องการดูแลคนไข้ต้องตั้งใจเต็มที่ ถ้าปกติการทำเต็มที่หมายถึงทุ่มเท 100% แพทย์ด้านประสาทศัลยศาสตร์ต้องทำ 120% ต้องลงแรงมากกว่าธรรมดา เพราะเวลาผ่าตัดจะพลาดไม่ได้สักนิดเดียว ถ้าพลาดเพียง 10 วินาทีคนไข้อาจเสียชีวิตได้ ดังนั้นงานของแพทย์ทางด้านผ่าตัดสมองรวมถึงพยาบาลที่ช่วยดูแลจึงหนักเสมอ”
ในยุคที่ผู้คนยังกลัวการผ่าตัดสมอง อาจารย์มีวิธีเปลี่ยนความคิดนั้นอย่างไร
“หลังจากได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้รับทุนอานันทมหิดลไปเรียนต่อที่ต่างประเทศด้านวิชาประสาทวิทยาและประสาทศัลยศาสตร์ซึ่งเรียกว่าใหม่สำหรับประเทศไทย ก็ตั้งใจจะทำให้คนไทยเห็นว่าการผ่าตัดสมองไม่อันตราย สามารถทำประโยชน์ได้ ฉะนั้นการตั้งใจดูแลคนไข้อย่างดีที่สุดจึงเป็นเรื่องสำคัญ ผมต้องปรับเปลี่ยนการทำงานหลายอย่าง ทั้งการสอนแพทย์ประจำบ้านว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น
กลางดึกกลางตื่นให้ตามได้ตลอด เพราะผมจะได้รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร คือเปลี่ยนจากที่เคยคิดว่าเพราะเกรงใจจึงไม่ตาม แต่เป็นเพราะเกรงใจจึงต้องตาม อีกอย่างสมัยโน้นห้องผ่าตัดทั่วไปเปิดช้า ก็ต้องทำให้เปิดได้เร็วขึ้น และทำการผ่าตัดได้ทันที พอเข็นคนไข้ออกจากห้องผ่าตัดมา เขาฟื้นขึ้น พูดได้ ก็ลดความกลัวให้ประชาชนยอมรับว่าการผ่าตัดสมองเป็นสิ่งที่ปลอดภัย จนยุคนั้นผู้คนพูดกันว่า ถ้าบาดเจ็บอย่างนี้ให้ไปโรงพยาบาลจุฬาฯ จะสามารถรอดชีวิตได้”
ในฐานะครูแพทย์อาจารย์มีเทคนิคการถ่ายทอดความรู้แก่แพทย์รุ่นหลังอย่างไร
“ผมไม่ได้สอนให้เขารู้ แต่สอนให้เขาเข้าใจไปในจิตใจของเขาเอง สิ่งที่ผมมีอยู่และพร้อมถ่ายทอดคือเรื่องพื้นฐานที่จำเป็นต้องใช้ อย่างกายวิภาคศาสตร์หรือสรีวิทยา ไปจนถึงพยาธิวิทยา เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่เข้าใจ เราจะเข้าใจคนไข้ได้อย่างไร ดังนั้นเวลาสอนผมจะสอนโดยให้เขารู้เข้าไปในใจ และเข้าใจในเรื่องที่เรามีอยู่ ถ้าเข้าใจอย่างนั้นแล้วเขาจะต่อยอดสร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาเอง ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ไปหาความรู้เพิ่มเติมได้ ถ้าเขายังพิจารณาวิเคราะห์ไม่พอก็สอนวิธีวิเคราะห์บางอย่างถ้าเขาทำไม่ดี ผิดพลาด ก็ต้องเตือนเพื่อให้สติ อย่างเช่น แพทย์ตรวจคนไข้ทางด้านสมองนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการซักประวัติ แต่แพทย์รุ่นหลัง ๆ ไม่ค่อยถามก็ต้องพยายามแสดงให้เขาดูว่า การถามประวัติและประวัติที่แตกต่างจะทำให้การรักษาแตกต่างกัน เรื่องการตรวจร่างกายก็เหมือนกัน ต้องใช้เวลาและความละเอียด เพราะจะบอกได้เลยว่าโรคอยู่ตรงไหน นอกจากนี้สิ่งหนึ่งที่พยายามบอกคือ เขามีหน้าที่เหมือนผมในการรักษาคนไข้ ก็ต้องทำให้เต็มที่โดยไม่มีข้อแม้”
คิดเห็นอย่างไรกับการที่หลายคนยกให้อาจารย์เป็นแบบอย่างในการทำงาน
“คงไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้นครับ เพียงแต่ตั้งใจสอนและรักษาคนไข้ด้วยความตั้งใจจริง ๆ ให้เขาเข้าใจและเห็นว่าทำอย่างไรถึงจะตี และเข้าใจมากไปกว่านั้นคือเรื่องของจิตใจและวิธีคิด ซึ่งบางครั้งเขาอาจไม่เข้าใจความตั้งใจของเรา เลยมองว่าเป็นการดุ แต่ความจริงแล้วเป็นความตั้งใจที่จะให้เขารับรู้และสามารถนำไปปฏิบัติได้ มีแพทย์ประจำบ้านหลายท่านที่ออกมาเป็นแพทย์แล้วได้พบเจอกันบอกว่าตอนเรียนรู้สึกเครียด แต่พอจบไปแล้วรู้สึกได้ว่าสิ่งที่ผมต้องการจะถ่ายทอดคือความตั้งใจในการทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด”
ในฐานะครูและศิษย์ มุมมองของอาจารย์ที่มีต่อนายแพทย์กฤษณพันธ์เป็นอย่างไร
“ผมสอนนิสิตแพทย์มา 40-50 รุ่น แพทย์ประจำบ้านก็หลายรุ่น แต่ละคนก็มีความต่างกัน อาจารย์กฤษณพันธ์เป็นคนหนึ่งที่มีความเก่งและฉลาด เพราะการ
ผ่าตัดสมองต้องใช้ความแม่นยำที่สัมพันธ์กันระหว่างตา มือ และสมองโดยต้องไม่ผิดแม้แต่มิลลิเมตรเดียว ซึ่งอาจารย์กฤษณพันธ์เป็นคนหนึ่งที่มีความสามารถทำได้ เห็นเลยว่าเป็นลูกศิษย์ที่ไปต่อได้ จึงบอกเขาเสมอว่าเขาต้องรู้เรื่องและเข้าใจทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นระบบประสาทชนิดไหนก็ตาม เพราะประสาทศัลยแพทย์ยังมีน้อย และต้องพยายามทำสิ่งที่สนใจให้ดีเป็นพิเศษ ซึ่งเขาก็สามารถพัฒนาตรงนั้นได้ นับว่าน่ายินดีที่เขาเป็นแพทย์ที่เก่งและดีทำให้ประสาทศัลยศาสตร์มีการพัฒนามากขึ้น”
มองว่าวงการแพทย์และสาธารณสุขไทยเป็นอย่างไร และต้องพัฒนาด้านไหนอีกบ้าง
“เรื่องการพัฒนาไม่มีที่สิ้นสุดหรอก ไม่ว่าด้านวิชาการก็ดี บริการต่าง ๆ ก็ดี การศึกษาก็ดี ซึ่งการวิจัยจะทำให้ทุกอย่างก้าวไปอีกมาก เราคาดการณ์อนาคตได้ยาก จึงต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุดให้ได้โดยใช้หลักเดียวกัน คือต้องทำให้ดีที่สุด ดีกว่าสิ่งที่เป็นไปได้ ถ้าปกติต้องทุ่ม 100% เราต้องตั้งใจให้ถึง 120%”

“ท่านเป็นนักคิด นักวิเคราะห์ และนักบุกเบิก
การเป็นนักคิดของท่านคือการคิดนอกกรอบ
หลาย ๆ สิ่งหลายๆ อย่าง ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้
ก็มาจากความคิดของท่าน”
รองศาสตราจารย์ นายแพทย์กฤษณพันธ์ บุณยะรัตเวช

ครั้งแรกที่ได้เรียนกับอาจารย์จรัส
“จริง ๆ แล้วอาจารย์จรัสสอนมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อคุณแม่ผม เลยได้ยินชื่อเสียงของอาจารย์ตั้งแต่ก่อนเข้ามาเรียนแพทย์ด้วยซ้ำ สมัยที่ผมเป็นนิสิตแพทย์นั้นอาจารย์จรัสเกษียณแล้ว แต่ด้วยความที่
ท่านรักการสอน หลังจากเกษียณก็ยังใช้เวลาวันเสาร์กลับมาสอนนิสิตแพทย์ก็เลยมีโอกาสได้เจอท่านและด้วยความที่อาจารย์เก่งมาก ก่อนจะพบหน้าท่านเราก็วาดภาพต่าง ๆ นานา จนถึงวันที่ต้องไปรายงานเกี่ยวกับคนไข้ให้ท่านฟัง จำได้ว่าผมเกร็งมาก คิดว่าจะทำอย่างไรให้รายงานออกมาได้ดี อาจารย์คงรู้ว่าผมเกร็ง พอพูดได้ 2-3 คำท่านก็เริ่มสอน ซึ่งการสอนของท่านเหมือน break the ice ทำให้เรารู้สึกว่าท่านไม่ได้ดูหรือน่ากลัวเหมือนที่เราวาดภาพไว้เลย”
ความประทับใจที่ยังคงอยู่
“ท่านเป็นนักคิด นักวิเคราะห์ และนักบุกเบิก การเป็นนักคิดของท่านคือการคิดนอกกรอบ หลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ก็มาจากความคิดของท่าน และท่านยังเป็นนักบุกเบิกที่สามารถผลักดันแนวคิดนั้นให้เกิดขึ้นจริง ยกตัวอย่างการเรียนแพทย์แนวใหม่ ที่เน้นให้แพทย์สามารถหาความรู้ด้วยตัวเองได้เพิ่มขึ้น และการประกันคุณภาพโรงพยาบาล คนต้นคิดสิ่งเหล่านี้ก็คืออาจารย์จรัส ส่วนการเป็นนักวิเคราะห์ของท่านคือ เวลาเจอปัญหาท่านจะวิเคราะห์ก่อนว่าปัญหาที่เผชิญอยู่คืออะไร แล้วจะแก้อย่างไร ซึ่งคุณสมบัติทั้งสามด้านของท่านเป็นแบบอย่างให้เราได้เป็นอย่างดี”
คำสอนที่ยังคงจดจำและนำมาใช้ถึงทุกวันนี้
“อาจารย์สอนหลายอย่างมาก แต่ที่เกี่ยวกับศัลยกรรมประสาทโดยตรงและผมจดจำมาถึงทุกวันนี้คือ อาจารย์บอกว่าการรักษาโรคทางศัลยกรรมประสาท ถ้าเปรียบเทียบกับการเล่นพนัน ลูกเต๋าที่เราใช้เป็นลูกเต๋าที่ถูกถ่วงเอาไว้ให้เราแพ้อยู่แล้ว คือบอกเป็นนัยว่าเกมนี้เรามีโอกาสแพ้สูงมาก เพราะศัลยกรรมประสาทนั้นยากตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ผลการรักษามีโอกาสที่จะไม่ดีสูง ฉะนั้นต้องเพิ่มความระมัดระวัง คิดให้รอบก่อนที่จะดำเนินการอะไร ซึ่งพอมาทำงานจริง ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรเราจะนึกถึงคำพูดของอาจารย์เสมอ เพิ่มความระมัดระวังและคิดให้รอบด้านขึ้น“
หลักคิดของการทำหน้าที่แพทย์
“พอพูดถึงแพทย์คนมักจะนึกถึงเฉพาะการดูแลรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยให้หายจากอาการนั้น แต่ในความเป็นจริงเราไม่ได้ดูแลรักษาแค่ตัวโรค ยังต้องดูไปถึงใจของเขา ครอบครัวของเขา ดูองค์รวม ดูทุกอย่าง เพราะตัวโรคเองอาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งของปัญหาแต่ความเป็นอยู่ ความรู้สึกนึกคิด หรือความกังวลที่ผู้ป่วยมีต่อตัวโรคนั้น ๆ ก็เป็นปัญหาที่สำคัญไม่แพ้กัน ฉะนั้นสำหรับผมบทบาทของแพทย์คือการดูแลผู้ป่วยทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ให้เขามีความสุขทั้งสองด้าน“
หลักคิดของการทำหน้าที่อาจารย์แพทย์
“ในบทบาทของครูแพทย์ ผมมองว่าการถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ให้รุ่นถัดไปเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ส่วนอันดับสองคือ ครูแพทย์ก็ต้องแสวงหาองค์ความรู้เพิ่มเติมด้วย เพราะสิ่งที่เราเรียนมาเมื่อ 20-30 ปีก่อนบางอย่างก็ล้าสมัย หากนำไปถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ก็เหมือนกับว่าเราไม่มีความก้าวหน้า ฉะนั้นต้องหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ และอันดับสามคือ ต้องเป็นแรงบันดาลใจ ด้วยการประพฤติปฏิบัติดี ทำหน้าที่ของแพทย์ที่ดีเพื่อให้คนที่เห็นเกิดแรงบันดาลใจ อยากก้าวเข้ามาเป็นแพทย์ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่าแพทย์ต้องเป็นแบบนี้ ส่วนวิธีการสอนผมเห็นตัวอย่างจากอาจารย์จรัสว่าท่านไม่ได้สอนแบบเอาข้อมูลไปให้ แต่สอนให้ผู้เรียนคิดเป็นและสามารถหาความรู้ใหม่ ๆ ได้ด้วย ซึ่งปัจจุบันผมก็ยังคงยึดแนวทางนี้ คือพยายามสอนให้เขาคิดเป็น วิเคราะห์เป็นมากกว่า”
สิ่งที่อยากถ่ายทอดแก่นักศึกษาแพทย์
“ในแง่ของการดูแลผู้ป่วย ผมอยากให้เขานึกถึงใจเขาใจเรา ลองคิดถึงเวลาที่เราเป็นคนไข้ หรือพาญาติผู้ใหญ่ไปหาหมอ จะทำให้รู้ว่าฝั่งคนไข้คิดอะไรอยู่ อยากได้อะไรบ้าง เพราะบางสิ่งบางอย่างเราอาจมองข้ามไป เช่น สมมติว่าเรานัดคนไข้คนหนึ่งที่โรงพยาบาลจุฬาฯ วันนี้ แล้วบอกเขาว่าอีกสามวันมาหาหมออีกคนหนึ่งนะ สำหรับเราอาจดูไม่มีอะไรเลย แต่ฝั่งคนไข้นั้นเขาอาจมาตั้งแต่ตีห้า กว่าจะได้รับการตรวจและรับยาบางทีได้กลับบ้านบ่ายสามแล้วเรายังจะบอกว่าอีกสามวันให้เขามาอีก แบบนี้จำเป็นไหม ก็อาจดูวิธีอื่นที่จะช่วยให้เขาไม่ต้องมาอีก เช่น เป็นไปได้ไหมที่จะนัดเขามาเจอหมอ 3-4 คนในวันเดียวกันเพื่อช่วยลดการเดินทางมาโรงพยาบาล นี่เป็นการทำหน้าที่หมอแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา”
ความสุขจากการทำหน้าที่แพทย์
“การได้เห็นคนไข้ดีขึ้นเป็นความรู้สึกภูมิใจ เพราะทุกครั้งที่คนไข้บอกกับเราว่า ‘ขอบคุณคุณหมอมากเหมือนได้ชีวิตใหม่เลย’ ทำให้เรารู้สึกว่ำได้ช่วยเขาจริง ๆ บางคนทุกข์ทนกับโรคหรืออาการนั้นมายาวนาน แล้วเราทำให้เขาหลุดพ้นเหมือนได้ชีวิตใหม่ มันเป็นความสุขในการทำงานที่รู้สึกว่าไม่เหนื่อยเปล่า”
อาจารย์กฤษณพันธ์ ในมุมสบาย ๆ และผ่อนคลาย
หลักในการใช้ชีวิต
“แพทย์ก็เหมือนอาชีพอื่นที่มีบทบาทหลายด้านทั้งเรื่องงาน เรื่องครอบครัว เรื่องสุขภาพ ดังนั้นผมพยายามจะบาลานซ์ชีวิตแต่ละด้านไม่ให้สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง สิ่งที่ผมสนใจก็คือการศึกษาปรัชญาชีวิตเพื่อพัฒนาตนเอง ช่วยให้เราเดินทางสายกลางและนำหลักคิดไปใช้กับด้านต่าง ๆ ในชีวิต โดยเฉพาะเวลาเกิดปัญหาจะช่วยให้วิเคราะห์ปัญหาและดีลกับด้านอื่น ๆ ได้ดี”
กิจกรรมยามว่าง
“ส่วนใหญ่ผมจะดูหนังฟังเพลง สมัยก่อนชอบหนังที่เดาทางยาก ลุ้นตลอดเรื่อง ผมมีหนังที่อยู่ในความทรงจำหลายเรื่องเช่น Schindler’s List ที่เกี่ยวกับฮีโรในสงคราม หรือ The Pursuit of Happyness ที่พ่อพาลูกฝ่าฟันมรสุมชีวิต แต่พอมาทำงานเราต้องลุ้นกับการทำงานในทุกวันอยู่แล้ว ยามพักผ่อนเลยไม่อยากลุ้นอีก หลังๆมาจึงชอบดูหนังแอ็กชั่นที่ไม่ต้องลุ้นมาก ชิล ๆ ดูเพลินๆ เดาทางง่าย เรื่องล่าสุดที่ชอบคือ Top Gun: Maverick ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่าพระเอกต้องชนะ แต่จะชนะยังไงเท่านั้นเอง”
ใส่ใจสุขภาพ
“ปกติผมออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 วัน วันละประมาณ 30-40 นาที เมื่อก่อนว่ายน้ำอย่างเดียว แต่พออายุเพิ่มขึ้นก็พบว่าพอว่ายทุกวันๆ เริ่มมีอาการเจ็บ เพราะร่างกายซ่อมแซมไม่ทัน เลยสลับเป็นว่ายน้ำ 2 วัน วิ่ง 2 วัน จักรยาน 1 วัน ยกเวตบ้างเน้นออกกำลังกายให้ครบทุกส่วน”
ความคาดหวังต่อวงการสาธารณสุขไทย
“จริง ๆ แล้วการแพทย์บ้านเรามีความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน แต่สิ่งที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงก็คือ การที่ผู้ป่วยหรือคนไข้เข้ามามีส่วนรับผิดชอบในการดูแลรักษาสุขภาพตัวเองมากขึ้น เพราะโรคหรือความเจ็บป่วยบางอย่างก็เลี่ยงได้ เช่น สูบบุหรี่จนป่วย ไม่ออกกำลังกายจนน้ำหนักเกิน หรือแม้แต่เรื่องอุบัติเหตุจราจรถ้าทุกคนรับผิดชอบช่วยกันฺดูแลตัวเองใส่ใจสุขภาพ โรคหรือความเจ็บป่วยเหล่านี้ก็จะลดลงเป็นการลดภาระต่อสาธารณสุขไทย ลดค่าใช้จ่าย ทำให้สามารถนำพลังงานบุคลากรทางการแพทย์ และ งบประมาณทั้งหลายไปทำอย่างอื่นได้มากขึ้น”
ขอบคุณข้อมูลจาก วารสาร ฬ จุฬา